หรือการดีดนิ้วใน Avengers: Endgame จะเป็นการให้กำเนิดมนุษย์กลายพันธุ์ X-Men ในจักรวาล Marvel?

เปิดทฤษฎีล่าสุดของนักวิเคราะห์แฟนพันธุ์แท้มาร์เวล ถึงการจะกระโดดข้ามจักรวาลมาร่วมแจมใน MCU ของเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ X-Men หลังค่าย Disney ควบกิจการ Fox สำเร็จ อย่างที่หลายคนอาจจะทราบอยู่แล้วว่า ในจักรวาลมาร์เวลนั้นมีมนุษย์กลายพันธุ์จาก X-Men อยู่แล้ว 2 คน

นั่นคือ “ควิกซิลเวอร์” ในภาค Avengers: Age of Ultron (2015) และ “สการ์เล็ต วิตช์” ที่ยังอยู่มาจนถึงปัจจุบันและกำลังจะมีซีรีส์ภาคแยก WandaVision ของตัวเอง (ออกฉายไม่เกินปีหน้า) ตามฉบับคอมิกนั้นทั้งสองคือลูกของ “แม็กนีโต” มนุษย์กลายพันธุ์ตัวร้ายคู่ปรับ “โปรเฟสเซอร์เซเวียร์” แต่ในหนังนั้นถูกเลี่ยงไปให้นิยมว่า “ผู้วิเศษ” ไม่ใช่มนุษย์กลายพันธุ์เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาเรื่องสิทธิ์ของตัวละครข้ามค่าย


เปโตรและแวนดา เผชิญหน้ากับหุ่น Ultron ที่ร้ายกาจ ใน Age of Ultron (2015)



แต่เมื่อ X-Men จะก้าวเข้ามามีบทบาทใน MCU อย่างจริงจัง Marvel Studios อาจต้องหาคำอธิบายเจ๋ง ๆ ถึงการมีอยู่ของพวกเขาที่ไม่เคยปรากฎตัวมาเลยก่อนหน้านี้ ซึ่งหนึ่งในวิธีการเล่าเรื่องที่มีการคาดเดากันนั้นก็คือ การดีดนิ้วหลาย ๆ ครั้งทั้งของธานอสใน Infinity War และของฮัลค์ รวมถึงไอรอนแมนใน Endgame นั้น อาจพาเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์จากมิติคู่ขนานข้ามมายังเส้นเวลานี้ หรือรังสีอันร้ายแรงที่เกิดจากการดีดนิ้วก็อาจสร้างมนุษย์กลายพันธุ์ขึ้นมาในโอกาสนี้เลยก็เป็นได้



คำกล่าวอ้างที่ว่านี้ไม่ใช่คำกล่าวอ้างลอย ๆ เพราะมีคำพูดของเจ้าต่ายร็อกเก็ตแห่งแก๊งการ์เดี้ยน เคยอธิบายผลลัพธ์ของปรากฎการณ์ดีดนิ้วด้วยถุงมืออัญมณีเอาไว้ว่า “เมื่อเกิดการดีดนิ้ว โลกจะกลายเป็นแหล่งรวมของพลังในจักรวาลที่จะพรั่งพรูด้วยรังสีอย่างมากมาย

ที่ไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน” นั่นก็คือตอนที่ธานอสดีดนิ้วครั้งแรกใน Infinity War จนประชาการหายไปครึ่งจักรวาล รังสีและพลังงานก็อาบโลกไปแล้วรอบหนึ่ง ไม่หนำซ้ำใน Endgame ยังเกิดขึ้นอีกสองรอบแบบติด ๆ กัน และฮัลค์ก็ยังซึมซับรังสีแกมมาจำนวนมหาศาลไว้ในร่างซึ่งอาจจะเป็นประเด็นต่อไปว่า อาจส่งผลให้เกิดกับเขาไปจนถึงทฤษฎีที่ว่าอาจจะทำให้เขาเดินเข้าสู่ด้านมืดไปเลยก็มี


นอกจากนี้คำอธิบายอีกอย่างที่อ้างอิงจากพลังของอัญมณีอินฟินีตี้ ที่มอบพลังให้กับหลายตัวละครของเรื่อง (ตามคำอธิบายของ MCU) ไม่ว่าจะเป็นควิก ซิลเวอร์และสการ์เล็ต วิตช์ที่ได้พลังมาจากมายด์สโตน (จากคฑาของโลกิ) หรือกัปตันมาร์เวลที่ได้พลังมาจากเทสเซอร์แรคท์ เมื่อดูจากการอ้างถึงใน Deadpool (2016) ที่บอกไว้ว่า มนุษย์กลายพันธุ์นั้นจะมียีนส์พิเศษที่ติดตัวมาอยู่แล้ว การโดนรังสีจากการดีดนิ้วทั้ง 3 ครั้งที่ว่า อาจจะก่อให้เกิดรังสีจนไปกระตุ้นยีนส์พิเศษเหล่านั้นจนทำให้หลายคนเป็นมนุษย์กลายพันธุ์ก็เป็นได้


ซึ่งต้องรอติดตามในอนาคตว่า Kevin Feige จะเลือกคำอธิบายไหนมาใช้ หรืออาจจะอธิบายนอกเหนือจากทฤษฎีเหล่านี้ไปเลยก็ได้ แต่แน่นอนว่า ด้วยคำอธิบายนี้จะทำให้เรื่องราวของ X-Men ที่ถูกสร้างโดย Fox ตั้งแต่ภาคแรกปี 2000 จนถึงปี 2019 ทั้งหมด 7 ภาคจะกลายเป็นจักรวาลคู่ขนานทันที เพราะไม่สามารถอธิบายเหตุการณ์ที่ทีมมิวแทนต์เข้าไปร่วมตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นต้นมาได้ในไทม์ไลน์ของ MCU ยังมีการคาดเดากันอีกว่า ตัวละครทหารจอมโหด “วิลเลียม สไตรเกอร์ส” (เคยปรากฎตัวใน X-Men 2 (2002) และ X-Men Origins: The Wolverine (2009)) อาจจะปรากฎตัวในการทดลองโพรเจกต์ X ที่จะเริ่มจาก เวพพอน เอ็กซ์ และทีมเอ็กซ์-23 ซึ่งก็คือ Deadpool และทีม X-Force



Brian Coxx รับบท ผู้พันวิลเลียม สไตรเกอร์ส ใน X-Men 2 (2002)



Danny Huston รับบท ผู้พันวิลเลียม สไตรเกอร์ส ใน X-Men Origins: The Wolverine (2009)
แฟน ๆ ก็คงต้องรอกันต่อไปอีกพักใหญ่ อย่างที่นักเขียนนิยายภาพของ Deadpool ออกมาส่งเสียงว่า Marvel Studios ไม่จริงจังกับการพัฒนาหนัง Deadpool ต่อเลย

รวมถึงกำหนดฉายในเฟส 4 ก็เต็มจนไม่รู้จะแทรกทั้ง Deadpool, X-Men และ Fantastic 4 เข้าไปยังไงไหว อย่างเร็วสุดก็ต้องเป็นปี 2023 ถึงจะได้เริ่มพัฒนาตัวละครจากทรัพย์สินของค่าย Fox กัน ส่วนนักแสดงอย่าง Nicholas Hoult ที่เคยรับบทเป็น “บีสต์” และ Sophie Turner ผู้เคยรับบทเป็น “จีน เกรย์” ก็ออกมาประกาศตัวว่า อยากกลับมารับบทเดิมในจักรวาล MCU อย่างที่สุด

อ่านต่อ รีวิวหนัง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

สื่อโปรตุเกสเผย ลิเวอร์พูล ยังสน "เมนเดส" แม้โดนปัด 19 ล้านปอนด์

แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บุกรัวอัด เชลซี คาบ้าน 3-1

Black Widow | รีวิวความรู้สึกหลังดู [DID YOU SEE]